บทสัมภาษณ์โทนี่ เหลียงเฉาเหว่ยปี 2000 ตอนที่3
ปกติ เหลียงเฉาเหว่ยเป็นคนไม่ชอบพูดนิสัยที่เงียบขรึมของเขาในหนังอาจเป็นนิสัยของตัวเขาเองก็เป็นได้ ผมไม่ชอบพูดจริงๆ ผมชอบฟังคนอื่นพูดไม่ว่ากลุ่มไหน ผมมักเป็นคนฟัง ไม่ชอบแสดงความคิดเห็นนิสัยผมแปลกหรือเปล่า ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กได้รับอิทธิพลจากทางบ้านมากที่สุด จำได้ว่าตอนเด็กผมเป็นคนร่าเริงและซุกซน แต่พออายุ8ถึง 9 ขวบพ่อจากไปโลกของเด็กที่สดใสก็เหมือนมีปมด้อยเวลาไปโรงเรียนกลัวถูกเพื่อนๆถามว่า แล้วพ่อเธอล่ะ กลัวที่จะพูดกับคนอื่นว่า
พ่อผมจากไปแล้ว เพราะกลัวคนอื่นจะดูถูกผม ฉะนั้นวิธีหลีกหนีการสนทนากับคนอื่นก็คือนิ่งเงียบเอาไว้รักษาระยะห่างกับคนอื่น ซึ่งตอนนั้นกลัวว่าจะถูกเปิดโปงรอยแผลเป็น โดยสมัยนั้นๆ ใครๆก็มีพ่อ แต่ผมรู้สึกว่าผมคนเดียวที่ไม่มี คุณแม่ก็ไม่ได้อธิบายอะไร ท่านง่วนกับการหาเงินเลี้ยงผมกับน้องสาวตอนนั้นก็ไม่มีการฟื้นฟูจิตใจและไม่มีใครบอกผมเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง ว่าการแยกทางไม่ใช่เรื่องน่าอาย
ความที่ผมยังเล็กมากไม่เข้าใจเรื่องของผู้ใหญ่ดังนั้นผมจึงคิดไปว่าหรือว่าผมทำผิด
ครอบครัวที่หย่าร้างมีผลกระทบกับเขาค่อนข้างมาก เขาจึงซ่อนตัวเองไว้หลังกำแพงนั่นจึงทำให้เขารู้สึกว่าปลอดภัยที่สุดและกลายเป็นวิธีปกป้องตัวเองที่ดี ที่สุด อารมณ์ของเหลียงเฉาเหว่ยค่อนข้างซับซ้อน
จงใจหนีห่างคนอื่นทำให้เขาไม่คุ้นเคยกับชีวิตสังคมตั้งแต่เด็กถึงขนาดว่า
สื่อสารและอยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ ผมยินดีออกทะเล ดูเมฆ ดูทะเลแค่สองคนหรือไปร้านหนังสือ ซื้อหนังสือกลับมาบ้านอ่านดีกว่า คิดอะไรเรื่อยเปื่อยตามลำพัง ออกกำลังกาย เท่านี้ก็มีความสุขแล้ว ประเภทฟุตบอลหรือวอลเล่ย์บอลไม่เหมาะกับผมแน่นอน บางครั้งมีคนเดินเข้ามาใกล้ๆ เขาอยากจะคุยกับเขา เหลียงเฉาเหว่ยจะรู้สึกลำบากใจทันทีผมจะรู้สึกว่าอย่าเข้ามาคุยกับผมเป็นอันขาด เพราะผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับอีกฝ่ายดีนั่นเอง ฉะนั้นภายนอกเขาดูเย็นชาเงียบขรึม
ตอนนี้เขามีชื่อเสียงเงินทองแล้ว แต่ความสัมพันธ์กับคุณพ่อยังคงห่างเหินกัน เหลียงเฉาเหว่ยได้เจอคุณพ่อไม่กี่ครั้ง หลังจากรับรางวัลแล้วก็ไม่คิดร่วมฉลองกับคุณพ่อ คุณแม่ไม่อยากให้ผมเจอหน้าท่านบ่อยนักอยู่กับคุณแม่ตั้งแต่เด็กชินกับวิถีชีวิตที่มีแม่เป็นหลัก ท่านว่าอะไรก็ว่าตาม
ผมต้องคล้อยตามความคิดของท่าน ผมจะไม่ทำอะไรที่ทำให้ท่านโกรธ
เพราะทำแล้ววันข้างหน้าอาจจะเสียใจภายหลังผมจึงต้องหวงแหนความ
สัมพันธ์อย่างนี้