วัยเด็กของเหลียงเฉาเหว่ย
เมื่อถาม เหลียงเฉาเหว่ยว่า เขาในวัยเด็กเป็นอย่างไร? เขาตอบอย่างง่ายๆชัดและตรงจุดว่า เด็กซนสิครับ
ความซนของเหลียงเฉาเหว่ยถึงขั้นใดรึ ที่แท้เขาในวัยเด็กซนเจ้าเล่ห์เหลือเกิน และยังชอบคุยโวว่าตนเก่ง ชอบแกล้งเพื่อน ดังนั้นจึงมักเป็นตัวจุดชนวนก่อเรื่องที่โรงเรียนเสมอ
ทีแรกเขาจะเป็นผู้ดีสู้ด้วยปากก่อน ต่อไปจึงเป็นคนถ่อยอันธพาลลงไม้ลงมือ ทะเลาะวิวาทกันในที่สุด เหลียงเฉาเหว่ย พูดว่า จำไม่ได้โดยละเอียด จำได้เพียงว่ามีทั้งแพ้ทั้งชนะ
โรงเรียนเป็นสังคมขนาดย่อส่วน จึงไม่ยอมให้มีการทำลายระเบียบเกิดขึ้น ทุกครั้งที่ครูใหญ่ได้รับการร้องเรียน ครูใหญ่จะตัดสินอย่างยุติธรรม เนื่องจากเจ้าเหว่ยจอมซน มีความประพฤติไม่สู้ดีจึงมีประวัติไม่ดีเก็บบันทึกไว้ในแฟ้มทุกครั้งที่ครูใหญ่ทำโทษนักเรียนครั้งใหญ่ด้วยการเฆี่ยน เหลียงเฉาเหว่ย จะต้องติดกลุ่มด้วยเสมอ
ดังนั้นผมบอกคุณได้ว่าที่ๆ คุ้นที่สุดในโรงเรียนไม่ใช่ห้องน้ำชาย สนามหรือแผนกจำหน่ายข้าวของ แต่เป็นห้องครูใหญ่ การตกแต่งภายในห้องและสภาพแวดล้อมภายในห้องนั้น เชื่อว่านอกจากครูใหญ่ผู้เป็นเจ้าของและภารโรงที่ทำความสะอาดแล้ว ผมเป็นอีกคนที่คุ้นเคยห้องนั้นดี
ความซุกซนของเหลียงเฉาเหว่ย นอกจากเขาจะได้รับโทษอย่างสาสมทางเนื้อหนังแล้ว ยังทำให้แม่ต้องรับโทษ ร้อนหู ไปด้วย
ทางโรงเรียนต้องการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและผู้ปกครองให้มีความเข้าใจกันมากขึ้น จึงจัดวันพบผู้ปกครองขึ้นปีละครั้ง แต่การจะชี้แนะ เจ้าเหว่ยจอมซน ให้เดินไปบนทางที่ถูกต้อง การพบปะผู้ปกครองครั้งเดียวย่อมไม่พอแน่
ปีที่น้อยที่สุดคือแม่มาพบครูเพียงสองครั้ง ส่วนปีที่มากที่สุดไม่ต้องพูดถึงว่ากี่ครั้ง
แม่ของเขาต้องไปพบครูใหญ่ปีละครั้งไม่เพียงแต่แม่ต้องปวดศรีษะแล้ว ยังรู้สึกเหนื่อยทั้งกายและใจ
ครูจะพูดคำพูดแบบเดียวกันกับแม่ทุกครั้งว่า ลูกของคุณไม่เพียงแต่ซนยังเกียจคร้านด้วย หากเขาคงประพฤติตัวเหมือนเดิมโดยไม่ยอมเปลี่ยนปีหน้าโรงเรียนจะไม่ให้ลูกของคุณเลื่อนชั้น
คำพูดที่ซ้ำๆซากๆ เช่นนี้แม่ฟังมาสิบปีเต็มซึ่งเท่ากับฟังมาตลอดช่วงเวลาเติบโตของ เหลียงเฉาเหว่ย และเป็นคำเตือนที่เข้าหูของเขาได้มากที่สุด มิน่าเล่า เขาจึงจำคำพูดนั้นได้ทุกคำโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
จาการที่พ่อแม่แยกทางกัน มีผลกระทบให้ เหลียงเฉาเหว่ย ได้คิดมากขึ้น เขาเห็นแม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเพราะต้องทำหน้าที่พ่อด้วย อุปนิสัยของเขาจึงเปลี่ยนไปเป็นเด็กดีและเรียบร้อยขึ้นและยังเริ่มรับหน้าที่ของผู้ชายที่แบกรับภาระเป็นพ่อบ้านในตัว เมื่อแม่ไปทำงานนอกบ้าน เขาจะช่วยแม่ดูแลบ้านและน้องสาว ชีวิตความเป็นอยู่ประจำวันของสองพี่น้องตระกูลเหลียงคือ
แม้จะถูกเพื่อนนักเรียนล้อว่าผมดูไม่แมนเลย แต่ผมคงจูงมือน้องกลับบ้านหลังเลิกเรียนแล้วทานข้าวเย็น
ทุกวันแม่จะเตรียมอาหารมื้อเช้าและเย็นให้ลูกทั้งสองได้เพียงสองมื้อเท่านั้น ส่วนมื้อกลางวันแม่จะให้เขาทั้งสองห้าเหรียญเพื่อไปหาซื้อทานเอง
เราถือเงินห้าเหรียญที่แม่ให้ไปอุดหนุนร้านขายหมูแดง ซื้อหมูแดงสามเหรียญเป็นกับข้าวแล้วซื้อข้าวเปล่าอีกหนึ่งเหรียญห้าสิบเซ็นต์ มีทั้งข้าวและกับก็ทานได้
อาหารมื้อเที่ยงของสองพี่น้องเสียเงินเพียงสี่เหรียญห้าสิบเซ็นต์ก็อิ่มแปร้ เขาทั้งสองไม่ได้รับความสุขทางวัตถุมากนัก ชีวิตแห้งแล้ง แต่ก็ไม่มีผลกระทบต่อความรักของสามแม่ลูกและยังทำให้พวกเขามีความสัมพันธ์และผูกพันแนบแน่นยิ่งขึ้น
เรื่องราวในอดีต เหลียงเฉาเหว่ย จำได้แม่นยำ เขายังเอ่ยถึงเพื่อนเก่าที่ล่วงลับไปชื่อ ลูซี่ มันเป็นสุนัขพันธ์ผสมสีขาวดำ ซึ่งเลี้ยงมาก่อน เหลียงเฉาเหว่ยเกิด จึงพูดได้ว่าเป็นเพื่อนเล่นของเขาในวัยเด็ก
ลูซี่ มักเดินไปเดินมาเฝ้าอยู่รอบๆเตียงเด็กที่ผมนอน
ลูซี่ สนิทกับเหลียงเฉาเหว่ยมาก แม้เขาจะมือซนดึงหางมันแรงๆ มันก็ไม่เคยโกรธหรือหันมากัดเขาสักครั้งเดียว
วันที่ ลูซี่ ตายนอกหน้าต่างฝนกำลังตก น้ำลายของมันฟูมปากอย่างทุกข์ทรมาน และครางไม่หยุดจนจากผมไป
หลังจากนั้น เหลียงเฉาเหว่ย ก็อุ้มร่างที่ไร้วิญญาณของเจ้าลูซี่ เพื่อนซี้มาหลายปีไปฝังบนเขาเพื่อให้มันไปสู่สุขคติ!
ที่มา: ทีวี วีดีโอ ไทมส์ ปี 2537